วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิธี ดาวน์โหลด วีดีโอจาก Facebook

Download Facebook VDO วิธี ดาวน์โหลด วีดีโอจากเฟสบุ๊ค 

วิธีการ Save หรือ Download VDO วิดีโอต่างๆ จาก Facebook (เฟสบุ๊ค) ที่เราประทับใจมาเก็บไว้

วิธีที่ 1 ดาวน์โหลดบนคอมพิวเตอร์ ไฟล์ .mp4 ขนาดเล็ก


  1. เปิดวีดีโอที่ต้องการ อาทิ Facebook Lookback
    https://www.facebook.com/photo.php?v=10101251383040151&set=vb.4&type=2&theater


  2. เปลี่ยน URL โดยใส่ m นำหน้าโดเมน m.facebook.com/....yourVDOpath...
    เช่น https://www.facebook.com/photo.php?v=10101251383040151&set=vb.4&type=2&theater
    เปลี่ยนเป็น https://m.facebook.com/photo.php?v=10101251383040151&set=vb.4&type=2&theater

    * http://m.facebook.com คือ Sub Domain ที่ใช้งาน Facebook บนมือถือหรืออุปกรณ์พกพานั่นเอง




  3. กดเล่นหรือ Play VDO //ต้องกดเล่นก่อนนะครับ Web Browser ถึงจะเรียกไฟล์วีดีโอขึ้นมา
  4. Click ขวาที่วีดีโอ แล้ว เลือกบันทึกวีดีเป็น (Save As) เปลี่ยนชื่อได้ตามที่ต้องการ






วิธีที่ 2 ดาวน์โหลดบนคอมพิวเตอร์ ไฟล์ .mp4 ขนาดใหญ่

  1. ใช้ Google Chrome เว็บบราวเซอร์ ของตัวอื่นไม่แน่ใจนะครับยังไม่ได้ลอง
  2. เปิดหน้าวีดีโอที่ต้องการ คัดลอก URL นั้นๆ มาเปิดในหน้าใหม่ //คือไม่ให้เป็น Pop Up ขึ้นมาแบบภาพนี้ ให้คัดลอกที่อยู่ด้านบนไปเปิด Tab ใหม่

  3. กดเล่นหรือ Play วีดีโอ แล้ว Click ขวาที่หน้าจอ เลือกเมนู ตรวจสอบองค์ประกอบ


  4. ไปที่ Resources > Frames > (photo.php) > XHR > เลือกไฟล์ที่ นามสกุล .mp4 เปิดใน Tab ใหม่



  5. เมื่อเปิดใน Tab ใหม่แล้วกดเล่นแล้ว Click ขวา เลือกบันทึกวีดีโอได้เลยครับ



    //ไม่ควรไป ละเมิดวีดีโอที่มีลิขสิทธิ์นะครับ

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

Internet TV

Internet TV เทรนด์ใหม่แห่งการดูโทรทัศน์

  วันก่อนได้ดูโฆษณาของ Internet TV ของ Sony ครับรู้ว่าน่าสนใจดีเลยลองหาข้อมูลดู นอกจาก Sony แล้วยังได้รับพลังการสนับสนุนจากพี่ Google ลองดูที่ Google TV  นอกจาก Sony ก็ยังมี Samsung, Panasonic, Apple หรืออีกหลายแบรนด์ที่หวังจะแบ่งเค๊กชิ้นนี้ 
  อินเตอร์เน็ตทีวี ในนิยามของผมคือ ทีวีหรือโทรทัศน์ที่นอกจาก จะรับชมรายการปกติ ฟรีทีวี หรือจากเคเบิ้ลทีวี เหมือนทีวีทั่วไปแล้วยังสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแล้วรับชมภาพวีดีโอ วีดีทัศน์ผ่านจากแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ทำงานบนเครื่องรับ

  แล้วมันต่างจากดูผ่านคอมพิวเตอร์ตรงไหน ? ผมว่าต่างนะในความรู้สึกในการดูหนังซักเรื่องผ่านคอมพิวเตอร์ หรือนอนดูอย่างสบายๆ กับโทรทัศน์ ที่เราสามารถจะดูช่องปกติ จากวีดีโอแชร์ริ่ง หรือแม้แต่แชทกับเพื่อน ผ่าน Facebook เช็คอีเมล์หรือกิจกรรมอื่นๆ บนทีวีขณะดูหนังหรือข่าวไปด้วย

แล้วราคาล่ะ แพงมั๊ย ลองมาดู เช็คมาในวันที่ 6 เมษายน 2554
Sony Internet TV power by Google TV หน้าตาคล้ายๆ iPad ขยายใหญ่-อิอิ แอบเหน็บ
NSX-24GT1 – $599 / ประมาณ 18,000 บาท
NSX-32GT1 – $799 / ประมาณ 23,970 บาท
NSX-40GT1 – $999 / ประมาณ 29,970 บาท
NSX-46GT1 – $1,399 / ประมาณ 41,970 บาท
Google TV Blu-ray player $399 / แยกซื้อต่างหาก ประมาณ 12,000 บาท


ราคาก็ไม่ไกลจาก LED ทั่วไปเท่าไหร่ ดูแล้วหลักการทำงานจะผ่านรีโมตไปสู่กล่องคอนโทรลของ Google 
แต่คำถามประจำทุกบ้านเลยคือ "เห็นรีโมทป่ะ" "รีโมทไปไหน" แต่ Google ตัดปัญหานั้นได้ครับด้วยการ รีโมทควบคุมจากมือถือของคุณได้ นอกจากนั้นยังมีของ Samsung อีกนะครับคราวหน้าจะมาโพสต์ต่อ

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

ขั้นตอนการ Download Youtube

1.โดยใช้ Firefox Browser ดาวน์โหลดและติดตั้งจาก http://www.mozilla.com/th/firefox/
เลือกโฟลเดอร์ปลายทาง แล้วทำการติดตั้งจากไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา กด ต่อไปหรือ Next
จนเสร็จ Firefox จะเปิดขึ้นมาพร้อมหน้า Welcome Screen




2.ติดตั้งส่วนเสริมหรือ add on ของ firefox
จาก https://addons.mozilla.org/en-US/firefox/addon/video-downloadhelper/
กด + Add to Firefox และทำการติดตั้ง Firefox จะมี Popup แจ้ง กดเริ่มใหม่ทันที



3.เมื่อ Firefox เปิดขึ้นมาใหม่ ลองคลิ๊กขวาพื้นที่ว่างๆดู จะเห็นเมนู DownloadHelper แสดงว่า add on ได้ถูกติดตั้งแล้ว


 4.ไปที่ youtube หรือ web อื่นที่คล้ายๆกันก็ได้เช่น vimeo หรือ mthai แล้วไปที่หน้าวีดีโอที่เราจะเก็บ อิอิ



5.เมื่ออยู่ที่หน้าของวีดีโอนั้นแล้ว ทำการคลิ๊กขวาบนที่ว่าง ทำตาม step
5.1 เลือก DownloadHelper
5.2 เลือก Media
5.3 เลือกไฟล์ จะเห็นว่ามีคล้ายๆกัน ให้ดูชื่อว่าตรงกับด้านบนหรือเปล่า
ที่มีหลายอันเช่น [240p]blahblahblah.flv หรือ [360p]blahblahblah.flv คือขนาดต่างกันครับ
360p จะใหญ่และคมชัดกว่า ก็คงไม่ต้องบอกกันนะครับ ว่าจะเลือกอันไหน แต่เมื่อไฟล์ใหญ่
เวลาที่ process หรือกระบวนการเสร็จสรรพก็จะนานกว่าแน่นอน
5.4 เลือก Download & Convert ครับ add on จะขึ้น Option ให้เราเลือกตั้งค่า
ถ้าเราไม่ต้องการ Convert ก็เลือก Download อย่างเดียว ไฟล์ที่ได้ก็จะเป็น blahblahblah.flv
นามสกุล .flv หรือ .mp4 ซึ่งจะเปิดได้กับคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์บางชนิด



6.เลือก Format ที่เหมาะสมกับการใช้งาน
-MPEG (mpeg1+mp2) คือ ไฟล์ชนิดที่ใช้กับ VCD ทั่วไปครับ
-WMV (Windows Media Player) คือไฟล์นามสกุล .wmp
-iPod, iPhone, Galaxy Tab, Zuneใครมีก็จัดไปครับ
-Mobile 3gp ไฟล์มาตรฐานโทรศัพท์สากลโลก
-Quicktime (MOV) ฟอร์แมตของ Quicktime ค่าย Apple ดูบนคอมได้แต่ต้องหา Media Player บางตัวมาดู
-MPEG-2 DVD (PAL) บอกอยู่ในตัวแล้วครับ ว่าใครจะทำ DVD
-MPEG-2 DVD (NTSC) บ้านใครอยู่ อเมริกาหรือญี่ปุ่นเลือกฟอร์แมตนี้แต่ถ้าอยู่เมืองไทยใช้ PAL นะครับ
-MP3 ใครไม่เอาภาพแต่จะแต่เสียงครับตัวนี้
ส่วนปุ่ม Details ไว้ปรับตั้งค่าขั้นสูงครับ ถ้าจะใช้ค่ามาตรฐานไม่ต้องปรับครับ



7.เลือกโฟลเดอร์ที่จะเก็บไฟล์ครับ แต่เมื่อเราจะ Convert ไฟล์ด้วย DownloadHelper
จะขอติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติมในครั้งแรก ขั้นตอนนี้ จะติดตั้งก่อนก็ได้จาก
http://www.downloadhelper.net/install-converter.php
เมื่อเราติดตั้งเสร็จแล้วก็ไป Recheck Converter อีกครั้งจะเห็นว่าสามารถ ดำเนินขั้นตอนได้แล้ว



8.เมื่อโหลดเสร็จโปรแกรมจะทำการ convert อัตโนมัติเมื่อเสร็จแล้วก็ไปเช็คดูที่โฟลเดอร์ที่เรากำหนดไว้




สุดท้ายจะเห็นว่า มีโลโก้เล็กๆติดมาด้วย ก็ไม่ได้ไปเกะกะส่วนเนื้อหาวีดีโอหรอกครับ
ถ้าไม่อยากให้มีก็จ่ายตังค์ซื้อหรือ Download แบบไม่ต้อง Convert ครับแล้วไป
ใช้โปรแกรมตัวอื่น Convert แทน ลองหาจาก Google ดูครับมีเยอะ

ก็จะเป็นขั้นตอน การเก็บวีดีโอที่เราชื่นชอบมาเก็บไว้ดู ยามไม่มีอินเตอร์เน็ต
แต่ถ้าเอาเผยแพร่ก็ระวังผิดกฏหมาย หรือถ้าจะโพสต์ต่อก็ต้อง ระบุชื่อ เจ้าของ
ลิขสิทธ์ให้ชัดเจนนะครับ

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

Cloud Computing

  Cloud Computing หรือ เทคโนโลยีบนกลุ่มเมฆ คือ การประมวลผลข้อมูลจากเดิมจาก
Computer Server ในองค์กรหรือบริษัท ย้ายไปประมวลลงบนอินเตอร์เน็ตโดยใช้เครือข่าย
Server จำนวนมากที่ร่วมกันทำการประมวลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยไม่จำเป็นต้องใช้
ระบบปฏิบัติการและอุปกรณ์ ชนิดเดียวกัน

 สรุปคือ ระบบ Cloud Computing ไม่ได้เปลี่ยนการขั้นตอนทำงานของคุณในแต่ละวัน
ไปหรอกครับแต่จะเปลี่ยนรูปแบบ การประมวลผล สำรอง และการเรียกข้อมูลจากเดิมคือ
จากที่เราใช้ ระบบ Server ขององค์กรเราจะใช้ Server หรือระบบต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตแทน

 ทำไมต้องใช้ Cloud Computing
  • อันดับแรกผมมองไปที่เรื่อง ค่าใช้จ่าย มีราคาต่ำกว่า เมื่อเทียบกับถ้าเราจะติดตั้งระบบ Server ขนาดใหญ่
  • ความคล่องตัวสูงในการเรียกใช้ข้อมูล โดยพื้นฐานผ่าน Web Browser เช่น IE, Firefox หรือ Google Chrome และยังปรับโครงสร้างพื้นฐานโดยง่ายอีกด้วย
  • ยืดหยุ่นและมีอิสระในการเรียกใช้ข้อมูล แน่นอนเมื่อมีการใช้งานผ่านอินเตอร์เน็ต คุณก็สามารถทำงานจากที่ใดในโลกก็ได้ ผ่านโน๊ตบุ๊ค หรือแม้แต่บนมือถือ
  • ปลอดภัย สามารถกำหนดสิทธ์ได้หลายหลาก อีกทั้งยังมีระบบ Private Cloud แบบที่เลือกแชร์ข้อมูลกันเฉพาะในบริษัทหรือในแผนกหน่วยงานต่างๆ
 ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนในระบบ Cloud Computing
มีประโยชน์มากต่อ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่กำลังจะซื้อเครื่อง Server ราคาเรือนแสน
เปลี่ยนไปใช้บริการของ Cloud Provider หรือผู้ให้บริการระบบ Cloud ที่คิดค่าบริการตามการ
ใช้งานจริง อีกทั้งยังสามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะสมกับองค์กรหรือบริษัทของคุณ ไม่ต่างจาก
เครื่องของคุณเอง
ตัวอย่างค่าใช้จ่าย Cloud Computing
มีผู้ให้บริการใหญ่ๆอยู่หลายเจ้า ตอนนี้ผมขอยกตัวอย่างค่าใช้จ่ายในธุรกิจขนาดเล็กและกลาง

Amazon EC2 (Amazon Elastic Compute Cloud)
ระบบปฏิบัติการ Linux แถบเอเซีย แปซิฟิก ราคา $0.095/ชั่วโมง หรือ 2.85 บาทต่อชั่วโมง
ระบบปฏิบัติการ Windows แถบเอเซีย แปซิฟิก ราคา $0.12/ชั่วโมง หรือ 3.6 บาทต่อชั่วโมง
และค่าใช้จ่ายเช่าพื้นที่เก็บข้อมูล ของ Amazon จะเก็บค่าบริการแยกกัน
การส่งข้อมูลเข้า ก็ประมาณ 3 บาทต่อ 1 GB
การส่งข้อมูลออก ประมาณ 6 บาทต่อ 1 GB จะใช้มากใช้น้อยก็อยู่ที่องค์กรของคุณ
แบบเหมาจ่ายรายเดือนหรือรายปีก็มีนะครับแล้วแต่ละผู้ให้บริการ

ค่าใช้จ่าย สำหรับองค์กรขนาดเล็ก ลองคำนวณเล่นๆ เลขกลมๆต่อเดือนก็ประมาณ
3 - 4 พันบาท ปีนึงก็ 3 หมื่นกว่า ถูกกว่า Server ราคาเป็นแสนที่ไหนจะเสื่อมโทรมลงไปทุกวัน
ไหนต้องจ้างซ่อมแซม ดูแล แต่ละครั้งก็ไม่ใช่น้อย ผมว่า Cloud Computing น่าจะเป็นสิ่งที่
บริษัทหรือองค์กรต่างๆ มองหาในอนาคต



Cloud Computing ในประเทศไทย
จริงบ้านเรานั้นมีการใช้ ระบบ Cloud ที่พัฒนาเพื่อการอุตสาหกรรมมาระยะนึงแล้ว
โดยการสนับสนุนจากกระทรวงอุตสาหกรรม
เช่น โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
ชื่อยาวจริงๆ หรือ ECIT นั่นเอง โดยการปรับระบบ ERP หรือ Enterprise Resource Planning
ที่มีอยู่แล้วของแต่ละองค์กรเข้าสู่ระบบ Cloud Computing ของโครงการ และ ECIT ยังมีระบบ
E-Marketplace ซื้อขายกันแบบ Business to Business ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจนทำให้
ระบบมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะมีสินค้าในระบบกว่าแสนรายการและผู้กลุ่มภาค
อุตสาหกรรม เข้าร่วมโครงการกว่า 3 พันรายจากภาคอุตสาหกรรมที่ร่วมโครงการก็หลายพันราย
และมีสินค้าซื้อขายในภาคอุตสาหกรรม กว่าแสนรายการ



Google Apps เทคโนโลยี Cloud บนปลายจมูก
Google Apps คือตัวอย่าง Cloud Computing ที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดจนหลายๆคนอาจมองข้าม
นีคือสิ่งที่ Google ทำให้เราเห็นว่าของฟรีและดียังมีในโลกครับ ถ้าคุณได้เคยใช้ Google Apps
ในการจัดการเอกสารต่างๆ เช่น Google Docs แล้วแสดงว่าคุณก็เคยผ่าน Cloud Computing
Google Apps ที่ไม่ได้มีแค่การจัดการเอกสาร แต่ยังมี Calendar กำหนด Plan ต่างๆเพื่อ
ใช้ร่วมกันในองค์กร หรือระบบ E-Mail ที่ดีขึ้นและยังสามารถใช้ร่วมกับ Outlook ที่เราคุ้นเคย
หรืออีกหลายแอพพลิเคชั่น ส่วนอื่นๆหลากหลายที่เหมาะสมกับคุณโดยมีราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ
แค่ $50/ต่อปี/1 บัญชี สนนราคา 1,500 บาทต่อปี โดยจะลดต้นทุนด้าน ไอทีไปอย่างมาก
และยังสามารถให้ทดลองใช้ได้อีก 30 วันยังมีการ Support แก้ปัญหากันแบบ 24 ชั่วโมงกรณี
เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือทีมงานปรับปรุงระบบให้เหมาะสมกับองค์กร หรือหน่วยงานต่างๆ
นีคือ เหตุผลที่บริษัทและองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเลือกใช้ Google Apps และ Cloud Computing

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

Near Field Communication

Near Field Communication เทคโนโลยีที่จะเก็บกระเป๋าสตางค์ลงบนมือถือคุณ

จริงๆแล้ว Near Field Communication หรือ NFC ไม่ใช่เทคโนโลยีที่ใหม่โมเดิร์นกันเสียทีเดียว เพราะที่ญี่ปุ่นหรือในยุโรปบางประเทศก็มีใช้กันมาซักระยะนึงแล้ว แต่ในประเทศไทยอยู่ในขั้นทดลอง ซึ่งในอนาคตจะมีการติดตั้งเทคโนโลยีนี้ลงไปในมือถืออีกหลายๆรุ่นอีกด้วย
สรุป Near Field Communication ก็คือ เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายระยะสั้น หรือ เทคโนโลยีสื่อสารแบบไร้สัมผัส ซึ่งจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าผมจะอธิบายแบบบ้านๆ เลยแล้วกันว่า มันก็คือ การสื่อสารของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ฝังชิป NFC ไว้ทั้งสองฝั่ง ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน


โดยปัจจุบัน NFC ถูกนำไปใช้และพัฒนาสู่อนาคตหลายด้านเช่น
  • Access control อาทิควบคุมการเข้า-ออก ประตูหรือกลไกต่างๆ
  • Consumer electronics ด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • Healthcare ด้านสาธารณสุข ในโรงพยาบาลหรือหน่วยงานต่างๆ
  • Information collection and exchange การแลกเปลี่ยน ข้อมูลต่างๆ
  • Loyalty and coupons ถูกใช้แทนคูปอง ในการแลกซื้อ
  • Payments  การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
  • Transport  ด้านการขนส่ง



  NFC ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารหลายแห่งอาทิ Nokia, Sony, Philips, Samsung, Motorola หรือแม้แต่ Microsoft นอกจากนั้นจะมีบริษัทการเงินที่มาร่วมด้วย เช่น Master Card, American Express, Visa แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยี NFC ยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก อาจเป็นเพราะว่า ยังมีอุปกรณ์ที่รองรับอยู่ในวงจำกัด
  แต่แล้ว NFC กับมากลับกลายมาเป็นเรื่องเมาท์ในแวดวงไอทีทั่วโลก เมื่อพี่ใหญ่อย่าง Google เปิดตัว Nexus S มือถือใส่วิญญาณ Android เครื่องแรกที่สามารถอ่าน NFC ได้ ซึ่งคาดกันว่า Google จะเปิดตัวเทคโนโลยี NFC  ของตัวเองในไม่ช้า



ส่วนทางคู่แข่งอย่าง Nokia, Apple และ Blackberry ต่างก็เร่งพัฒนาอุปกรณ์ที่รองรับ NFC  ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ในอนาคตเทคโนโลยี NFC จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน เมื่อมีบริษัทใหญ่เข้ามาทำตลาดในสนามอย่างจริงจัง ต่อไปเราอาจเดินทางไปได้ทุกที่ เพียงแค่ใช้โทรศัพท์เครื่องเดียวจนกลายกลายปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต เช่นการซื้อสินค้าจ่ายค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ หรือเข้าออกประตู ผ่าน NFC แต่ถ้าโทรศัพท์หายหรือแบตเตอรี่หมดล่ะ เราจะทำยังไง

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

Facebook remove friend

วิธีลบเพื่อนที่ไม่ต้องการออกใน Facebook
ก็คือเราจะลบ พวกชอบแท็กโฆษณาออก โดยบางครั้งเราอาจจะ add มาด้วยความไม่เจตนาครับ
หรือเห็นเป็นหนุ่มหล่อ สาวสวย มาขอเป็นเพื่อน แต่สุดท้ายมาโฆษณาขายของซะได้

1.จะลบแค่คนเดียว ง่ายๆ ไปที่หน้าโปรไฟล์ เพื่อนของคุณ แทบเพื่อนด้านซ้าย กดเลิกคบ หรือ Unfriend
2.ลบหลายคน ไปที่ บัญชีผู้ใช้>แก้ไขรายชื่อเพื่อน (Account>Edit Friend) และเลือกลบเลย โดยกดกากบาท
3.ถ้าไม่อยากลบ แต่รำคาญพวกชอบแท็ก ให้ไปปรับการ บัญชีผู้ใช้>ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Account>Privacy Setting)


อันดับแรก ลบเพื่อนที่ไม่ต้องการออก แบบทีเดียวหลายๆคน

ไปที่บัญชีผู้ใช้>แก้ไขรายชื่อเพื่อน

เลือกและลบผู้ที่ไม่ต้องการออก โดยกด กากบาท

ถ้่าลบแล้ว ยังจะแท็กอยู่ ทำตามขั้นตอนนี้


ไปที่บัญชีผู้ใช้>ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
เลือกปรับปรุงการตั้งค่า


มาที่ ที่ผู้อื่นแบ่งปัน หัวข้อรูปและวีดีโอที่ฉันถูกแท็ก เลือกเป็น เพื่อนเท่านั้น


เสร็จขั้นตอนนี้เราก็ไม่เห็น หน้าแท็ก หรือคนที่ไม่ต้องการอีกต่อไป เว้นแต่ว่าเพื่อนสนิทคุณจะทำซะเอง

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

Burn DVD ไรท์ DVD ตอนที่ 2

Burn DVD movie ไรท์ DVD ตอน ใส่รูปลงไปในแผ่น DVD Movie


ก็คือการ นำเอาโฟล์เดอร์รูปถ่าย ใส่ลงไปในแผ่นดีวีดีหนังด้วย คือเอาไปเปิดกับเครื่องเล่นดีวีดีทั่วไปได้ และยังเก็บรูปถ่ายให้อยู่กับแผ่นเดียวกันได้ครับ โดยไม่ใช่การ Burn แบบข้อมูล

จากตอนที่แล้วในวิธีการ Burn DVD ไรท์ DVD กับ Nero Vision เราจะเปลี่ยนขั้นตอนสุดท้ายกันนิดหน่อย จากที่เราจะ ไรท์ DVD ลงแผ่น ให้เปลี่ยนเป็น Burn to > Image Recorder คือ Burn แบบเป็น Image File ไว้ในเครื่องก่อน
หลังจากนั้น
1.
Write to Hard Disk Folder ให้เลือกโฟล์เดอร์ปลายทาง ที่เราจะเก็บงาน ครับ
2.Select a location for the project
เลือกโฟล์เดอร์ครับ แนะนำ ไดร์ฟไหนก็ได้ที่มี พื้นที่เหลือเยอะๆ และให้สังเกตตรง Current destinantion จะเปลี่ยนไปตามโฟล์เดอร์เป้าหมายที่เราเลือกไว้
3.
Write เริ่มทำการครับ จะเห็นกระบวนการตามภาพ

เมื่อเสร็จแล้ว Nero Vision จะแจ้งเราว่า Burn process complete successfully และถามเราว่าจะเก็บ log file ขั้นตอนการทำงานไว้ดูต่างหน้ามั้ย จะ Yes หรือ No ก็ได้ แต่ผมไม่เก็บครับ เพราะไม่รุจะเก็บไมทำไม อ่านไม่รู้เรื่อง เสร็จแล้ว ก็ปิดโปรแกรมหรือ Exit ไปเลยครับNero Vision จะถามอีกว่าจะ Save งานไว้มั้ย
ทีนี้ลองไป เปิดดูงานของเราในโฟลเดอร์ ที่เลือกไว้ครับ

เราจะเห็น โฟลเดอร์ VIDEO_TS ครับภายในก็จะมีไฟล์ ต่างๆดังในภาพ ซึ่งเราจะเอาไปใช้งานกัน
ต่อไปก็เปิด โปรแกรม Nero Burning Rom ขึ้นมา

เมื่อเปิด Nero Burning Rom ขึ้นมา ให้เลือก DVD-Video > New


ลากไฟล์จาก โฟล์เดอร์ VIDEO_TS ของเรา ไปที่ โฟล์เดอร์ VIDEO_TS ของ Nero


ไปที่รูปแผ่นด้านซ้ายมือ และเราจะเห็นขนาดของไฟล์ตรงแทบ ด้านล่างสุด ทำให้เราสามารถคำนวณได้ว่า เราเหลือพื้นที่เท่าไหร่ที่เราจะแทรกอย่างอื่นลงไป ส่วนขวามือล่างสุด คือขนาดของแผ่นคือ DVD5 กับ DVD9 แตกต่างกันที่ขนาดครับ DVD9 ก็เยอะกว่าตามที่โปรแกรมระบุไว้

Tip: ตามปกติโปรแกรมประเภท Burner หรือ ไรท์แผ่นจะมีลิมิต หรือขีด แดงๆ เหลืองๆ บอกไว้ว่าอย่าเกินนี้นะ แนะนำครับยิ่งถ้าเราจะไรท์ไฟล์หนัง หรือเพลง อย่าถึงแตะลิมิต ให้เหลือไว้ พอดีๆ ซัก ขีดหรือครึ่งขีด เพราะจากประสบการณ์ ผมเคยลองเต็มลิมิต แล้วลองเปิดเล่นดู มีกระตุกๆ จริงๆ

คลิ๊กขวา เพื่อ Create Folder หรือ ไปที่ บน Menu Bar: Edit > Create Folder และก็ตั้งชื่อกันไป


และเราก็เอา ไฟล์รูปภาพต่างๆ ใส่ไปในโฟลเดอร์ที่เรา สร้างไว้ได้เลย อย่าลืมดูแทบ ด้านล่างด้วยว่าเกินลิมิต หรือป่าว เสร็จแล้วก็ กด Burn บนปุ่มรูป  ไม้ขีดไฟกับแผ่น ด้านบน


ติ๊กถูกตรง Write และเลือกความเร็วในการเขียนแผ่น ตรง Write speed และ Number of copies คือจำนวนแผ่นที่เราต้องการครับ ส่วนแทบ ด้านบนอื่นๆ ที่สำคัญหน่อยก็แทบ Label คือตั้งชื่อแผ่นวีดีโอ ของเรานั่นเอง สุดท้ายแล้วกด Burn กันเลย


อย่าลืมใส่แผ่น DVD เปล่ากันนะครับ โอกาสหน้ามี วิธีไหนง่ายๆ อีกจะเอามาแนะนำกันครับ

หากนำบทความไปเผยแพร่ ทำลิงค์ให้เครดิต หน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ